จะดูแลผิวแห้ง แตก คัน และอักเสบ อย่างไรดี?
จะดูแลผิวแห้ง แตก คัน และอักเสบ อย่างไรดี?
ใน ระยะนี้อากาศเริ่มเย็นลง อากาศที่หนาวเย็นในหน้าหนาวนี้ไม่เพียงแค่อุณหภูมิของอากาศจะลดต่ำลงกว่า ปกติเท่านั้น แต่ความชื้นในอากาศก็ลดลงตามด้วยคืออากาศแห้ง ซึ่งมีความชื้นหรือไอน้ำในอากาศลดลง ทำให้น้ำหรือความชื้นที่อยู่ตามผิวของร่างกายเราระเหยออกจากร่างกายได้ง่าย ขึ้นส่งผลให้ผิวของพวกเราในฤดูหนาวเป็น “ผิวแห้ง” ถ้าแห้งมากขึ้นก็จะทำให้เกิด “ผิวแตก” ตามมาด้วยอาการ “คัน” และ“ผิวหนังอักเสบ”
อาการ ผิวแห้ง แตก คัน และผิวหนังอักเสบนี้พบได้กับคนทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะภายใต้สภาวะอากาศหนาว เย็นและแห้ง แต่จะพบได้บ่อยในเด็กเล็กและผู้สูงอายุทั้งนี้เพราะวัยเด็กผิวหนังของร่าง กายยังไม่มีการพัฒนาสมบูรณ์เหมือนผิวของผู้ใหญ่จึงอาจกล่าวได้ว่าผิวเด็กจะ บางกว่าผู้ใหญ่ ในขณะที่ผู้สูงอายุ ผิวจะเริ่มเสื่อมถอยตามอายุที่มากขึ้นจึงเป็นวัยที่มีผิวบางและแห้งคนทั้ง สองวัยนี้คือเด็กและผู้สูงอายุเป็นช่วงวัยที่ผิวบางลงเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง ในฤดูหนาว ที่มีความแห้งและเย็นมากขึ้นผิวของคนทั้งสองวัยนี้จึงมีโอกาสที่จะแห้งและ แตกได้ง่ายกว่าคนในวัยอื่นๆ
นอกจากนี้คนในวัยอื่นที่มีปัญหาผิวแห้ง หรือผิวแห้งมาก จากสาเหตุของอาการภูมิแพ้ผิวหนัง อากาศที่เย็นและความชื้นที่ลดลง จะทำให้เกิดอาการผิวแห้งเป็นมากขึ้นอาจแตก คัน และอักเสบได้เช่นกัน
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิวแห้ง แตกคัน และผิวหนังอักเสบ
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว เป็นการช่วยชะล้างเชื้อโรค และสิ่งสกปรกออกจากรอยโรค โดย ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ควรมีส่วนผสมของสารทำความสะอาดที่อ่อนโยนเป็นพิเศษไม่มีส่วน ผสมของสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองและผสมสารที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ ผิว
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เมื่อ ผิวเริ่มแห้งหรือแตกสิ่งที่จะต้องปฏิบัติเพื่อดูแลตนเองง่ายๆ ก็คือใช้ครีม โลชั่น ขี้ผึ้งหรือน้ำมันชโลมทาผิวบริเวณที่แห้งแตก เพื่อช่วยปกป้องผิว โดยครีม โลชั่น ขี้ผึ้งหรือน้ำมันบำรุงผิวเหล่านี้ ถ้าเรียงตามประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากน้อยไปมากจะเป็นดังนี้ โลชั่น ครีม น้ำมัน และขี้ผึ้งซึ่งหมายความว่า โลชั่นมีคุณสมบัติปกป้องผิวน้อยกว่าครีมครีมมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวน้อย กว่าน้ำมันและน้ำมันมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวน้อยกว่าขี้ผึ้ง แสดงว่าถ้าเป็นเล็กๆ น้อยๆ หรือผิวเริ่มแตกหรืออากาศไม่หนาวเย็นแห้งมากก็สามารถจะใช้โลชั่นหรือครีมก็ ได้ผลดี แต่ถ้าเป็นมากๆ หรือผิวแตก คัน และอักเสบมากอาจต้องใช้น้ำมันหรือขี้ผึ้ง ที่จะช่วยปกป้องความชุ่มชื้นของผิวได้ดียิ่งขึ้น อย่าง ไรก็ตามการใช้โลชั่นหรือครีม แม้ว่าจะมีการปกป้องความชื้นของผิวได้พอควรไม่มากเท่ากับการทาผิวด้วยขี้ ผึ้งหรือน้ำมันแต่การใช้ครีมหรือโลชั่นก็ให้ความรู้สึกสบายผิว ไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนการใช้ขี้ผึ้งหรือน้ำมัน
นอก จากการเลือกรูปแบบของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมแล้วผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เลือกใช้ สำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง แตก คัน และผิวหนัง อักเสบ ควร มีคุณสมบัติที่ช่วยคืนความแข็งแรงให้กับชั้นปกป้องผิวด้วยการเติมเต็มน้ำมัน หล่อเลี้ยงที่จำเป็นในผิว และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ให้กับผิวอย่างยาวนานต่อเนื่องปราศจากน้ำหอม ไม่ใส่สี และส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ซึ่งในปัจจุบันผู้ผลิตยังมีการพัฒนา ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ด้วยการเพิ่มส่วนผสมของสารที่มีฤทธิ์ลดอาการอักเสบ และการระคายเคืองของผิว เช่นปัจจุบันมีการนำ ลิโค ชาลโคน เอ ซึ่งเป็นสารสกัดจาก Chinese Licorice Root หรือโอเมก้า ออยล์สารสกัดธรรมชาติจาก อีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ และ เกรป ซีด ออยล์มาใช้เป็นส่วนผสมในโลชั่น เพื่อช่วยลดอาการแห้ง แดง คัน และลดการใช้ยาทาสเตียรอยด์ เป็นต้น
ยารักษาอาการผิวแห้ง แตก คัน และอักเสบ
การใช้ยาทาในกลุ่มสเตียรอยด์ เป็น ยาหลักที่ใช้ในการรักษาอาการกำเริบของผื่นผิวหนังอักเสบ ทำให้ผื่นผิวอักเสบดีขึ้นอย่างรวดเร็วโดยควรเลือกในกลุ่มที่มีฤทธิ์อ่อนหรือ ปานกลาง และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของยาที่จะทำ ให้ผิวบอบบางและแห้งมากขึ้นได้ (ถ้าจำเป็นต้องใช้ติดต่อกันนานๆควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร ไม่ควรใช้ยาชนิดนี้ติดต่อกันนานๆ ด้วยตนเอง)
การใช้ยาต้านฮิสตามีนชนิดรับประทาน การให้ยาในกลุ่มนี้สามารถบรรเทาอาการคันและช่วยให้ผู้ป่วยนอนหลับได้ดีขึ้น
การใช้ยาปฏิชีวนะ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย แนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะ ชนิดทาหรือชนิดรับประทานแต่ไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน
นอกเหนือไปจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการดูแลรักษาอาการผิวแห้งแตก คัน และอักเสบ ได้อย่างถูกต้อง การรู้จักปฏิบัติตนเพื่อการป้องกันและการดูแลดุลยภาพของผิวไม่ให้เกิดผิว แห้งคัน อันได้แก่ การไม่ล้างหน้าบ่อย การไม่ใช้น้ำอุ่นล้างหน้า เนื่องจากจะทำให้ไขมันซึ่งให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังสูญเสียไปผิวจะแห้งมากขึ้น คันและเกิดการระคายเคืองหรืออักเสบได้ง่าย การดื่มน้ำให้มากพออย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงการรบกวนผิว เช่น การอบซาวน่า ไม่ถูไม่ขัดผิว ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวแห้งลงรวมไปถึงการตากแดดหรือทำงานกลางแจ้งและการสัมผัสสารเคมีบางอย่าง เป็นต้นก็เป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องทำควบคู่กันไป
You must be logged in to post a comment.